ปัจจุบัน ในโลกของการทำธุรกิจ เราอาจปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น ด้านการคมนาคม, ด้านการเงิน, ด้านความบันเทิง หรือรวมไปถึงด้านการตลาด ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และความรวดเร็วในเรื่องของการจัดการในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น การให้บริการลูกค้า, หรือการเก็บข้อมูลทางการตลาด เป็นต้น โดยจากผลสรุปสถิติของ International Business Machines (IBM) ผู้ให้บริการด้านคอมพิวเตอร์ และสารสนเทศรายใหญ่ของโลก กล่าวว่า 54% ของบริษัทที่ได้เริ่มใช้ AI ในการทำงาน มีความคิดเห็นที่ตรงกันว่า เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยลดต้นทุน และประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
ด้วยเทคโนโลยีที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว หลายคนก็อาจจะมีข้อสงสัยว่าในอนาคต AI จะเข้ามามีบทบาทมากน้อยแค่ไหน และมีโอกาสที่จะโดนแย่งงานจริงหรือไม่ ? บทความนี้ SPARK Factor จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้มากขึ้น รวมถึงพูดคุยประเด็นเกี่ยวกับ อนาคต AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ได้จริงไหม ในมุมมองของนักการตลาด มาฝากกัน
เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) คืออะไร

เทคโนโลยี AI หรือ Artificial Intelligence เป็นระบบคอมพิวเตอร์, เครื่องจักร, หุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ถูกออกแบบ เขียนโค้ด และสร้างขึ้นมาให้มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วางแผน หรือตัดสินใจได้ดีคล้ายกับมนุษย์ จากการนำชุดข้อมูลขนาดใหญ่ มาใส่ลงบนโปรแกรม เพื่อนำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้ ให้ตอบโจทย์ต่อความต้องการของผู้ใช้งาน จัดเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญในปัจจุบัน ที่มีบทบาทมากขึ้นในด้านของการทำงาน ตั้งแต่องค์กรขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ เนื่องจาก AI มีการประมวลผลข้อมูลที่รวดเร็ว และมีความแม่นยำสูง ที่ช่วยอำนวยสะดวกในการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคดิจิทัล ซึ่งในปัจจุบันประเภทของ AI ที่เราเห็นกันโดยทั่วไป ก็จะถูกแบ่งออกมา 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
1. Machine Learning (การเรียนรู้ของระบบ หรือเครื่องจักร)
เป็นโปรแกรมที่ถูกออกแบบขึ้นมา ให้สามารถเรียนรู้ และแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง ผ่านการใช้อัลกอริทึม (Algorithms) และวิเคราะห์ลักษณะของข้อมูล เพื่อสร้างแบบจำลองทางสถิติ (Statistical Models) สำหรับการนำไปใช้ทำนาย และการตัดสินใจ
2. Natural Language Processing (การประมวลผลภาษาธรรมชาติ)
คือ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้เทคนิคการประมวลผลภาษาธรรมชาติ เพื่อเข้าใจและตอบสนองต่อภาษามนุษย์ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการสร้าง Chatbot หรือ Virtual Assistant เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้งาน หรือกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น การสร้างไอเดียการทำงาน หรือ การรีเสิร์ชข้อมูลเชิงลึก เป็นต้น
3. Robotics (หุ่นยนต์)
เป็นการสร้างหุ่นยนต์หรือระบบที่สามารถคิดเองและทำงานได้โดยอิสระ ซึ่งมักจะใช้ AI เพื่อช่วยในการคิดเลขทางคณิตศาสตร์และการวิเคราะห์ภาพ เพื่อช่วยให้หุ่นยนต์สามารถรับมือกับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น
เทคโนโลยี AI สามารถทำอะไรได้บ้างในปัจจุบัน

หากพูดถึงในมุมมองด้านการตลาด เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI นับได้ว่ามีบทบาทสำคัญอย่างมากในเรื่องของการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น การสร้างระบบตอบลูกค้าออนไลน์ การจัดการเนื้อหาแคมเปญสินค้า และ บริการ รวมถึงการให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้งาน เป็นต้น ที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถปรับปรุง และพัฒนา เพื่อลดการทำงานซับซ้อนในด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยจุดเด่นที่เทคโนโลยีดังกล่าว มีการขับเคลื่อนด้วยชุดข้อมูล จึงทำให้ผู้ประกอบการ หรือนักการตลาด ให้ความสนใจกับสิ่งนี้กันมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น
- การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เทคโนโลยี AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือจากเดิมที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็วกว่ามนุษย์ เพื่อช่วยให้นักการตลาดสามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างสรรค์การนำเสนอให้แก่สินค้า และ บริการ จากการปรับปรุงการนำเสนอข้อมูลสินค้า โดยใช้เทคโนโลยีของ AI เช่น Natural language Processing เพื่อสร้างคำอธิบายผลิตภัณฑ์ และมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้แก่ผู้เยี่ยมชม
- ช่วยโปรโมตสินค้า และทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพ โดย AI จะทำการวิเคราะห์ และช่วยตัดสินใจในการทำโฆษณา เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ
- ทำนายความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และทิศทางการตลาด เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลตลาด และสรุปเป็นแบบแผนจำลอง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถมองเห็นภาพรวม และตัดสินใจวางแผนทิศทางของธุรกิจ
- ติดตามผล และประเมินข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้แบรนด์สามารถเห็นภาพรวมของธุรกิจ และทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
สิ่งที่เทคโนโลยี AI ยังไม่สามารถทำได้ในขณะนี้

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence จะมีประโยชน์ต่าง ๆ ในเรื่องของการอำนวยความสะดวกสบายมากมายให้กับธุรกิจในปัจจุบัน แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง ที่ AI ยังไม่สามารถทำได้อีกด้วย เช่น
การดําเนินงานด้วยตัวเอง
เพราะปัจจุบันระบบ AI ปัญญาประดิษฐ์ ยังต้องอาศัยการเขียนโปรแกรมโดยมนุษย์ ซึ่งในบางครั้งจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง หรืออัปเดตอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การดำเนินงานด้วยตัวเอง อาจทำได้ยาก ถ้าไม่ได้มีการเขียนโค้ดในการออกคำสั่ง
ทักษะความคิดเชิงสร้างสรรค์
ด้วยสมองของมนุษย์ที่มีความคิดซับซ้อน และมีความสามารถในการคิดได้หลายรูปแบบ หากพูดถึงในเรื่องของความครีเอทีฟของเทคโนโลยี AI อาจไม่สามารถทำได้ เนื่องจากระบบการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ จะเป็นการป้อนชุดคำสั่ง และแสดงผลลัพธ์เฉพาะข้อมูลที่ได้รับเท่านั้น จึงอาจสรุปได้ว่า AI จะไม่สามารถวิเคราะห์อย่างมีชั้นเชิงแบบมนุษย์ได้นั่นเอง เช่น การนำข้อมูลในหลายประเด็น มาทำให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
ความสามารถทางด้านอารมณ์
การควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์ต่าง ๆ ถือเป็น อีกหนึ่งทักษะสำคัญ ที่จะช่วยทำให้ผู้คนเกิดความเข้าใจกันได้มากยิ่งขึ้น ด้วยกระบวนการทางความคิดของมนุษย์ที่มีความซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็น ประสบการณ์ส่วนบุคคล หรือ สภาพแวดล้อมทางสังคม เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ AI ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ในจุดนี้ เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าว ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อทำการวิเคราะห์ และประมวลผลจำลองสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก ดังนั้น ปัญญาประดิษฐ์จึงไม่สามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจเหมือนคนทั่วไปได้
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ในขณะที่ AI สามารถช่วยเหลือธุรกิจในการรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อถึงเวลาในเรื่องของการดำเนินงานในขั้นตอนต่อไปกับสิ่งที่จะลงมือทำ เทคโนโลยี AI อาจยังไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ดีเท่ากับมนุษย์ ซึ่งการตัดสินใจครั้งใหญ่ จำเป็นที่จะต้องใช้เหตุผลเชิงตรรกะ และทำการวิเคราะห์จากหลาย ๆ มุมมอง เพราะหากวางกลยุทธ์ผิดพลาด ก็อาจทำให้เสียผลประโยชน์ทางธุรกิจได้
อนาคต เทคโนโลยี AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ได้จริงไหม ในมุมมองนักการตลาด

ด้วยข้อจำกัดบางอย่างที่ AI (Artificial Intelligence) ยังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ และยังมีข้อผิดพลาดอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ก็คงจะยังไม่สามารถเข้ามาแย่งงานของเราในตอนนี้ได้นั่นเอง เนื่องจากกระบวนการทำงานของปัญญาประดิษฐ์ ยังต้องพึ่งพาทักษะสำคัญของมนุษย์ เพื่อทำให้ระบบ AI สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง การนำ ChatGPT มาประยุกต์ใช้กับการหาข้อมูล หรือไอเดียงาน ที่ยังมีประเด็นในเรื่องของ “ความถูกต้องของข้อมูล” และต้องมีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเนื้อหาอยู่เสมอ รวมถึงการติดลิขสิทธิ์อื่น ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ระบบ AI ก็คงจะยังเป็นส่วนหนึ่งเพื่อเข้ามาช่วยทุ่นแรงให้กับผู้คน และเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น เช่น การ Optimize Ads, การ Mockup เว็บไซต์ต่าง ๆ หรือ การติดตั้งโปรแกรมสำหรับการทำบทความ SEO ให้กับธุรกิจ ฯลฯ
โดยจากงานสัมมนา 𝗠𝗮𝗿𝗸𝗲𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗢𝗼𝗽𝘀! 𝗦𝘂𝗺𝗺𝗶𝘁 𝟮𝟬𝟮𝟯 ที่ได้รวบรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดมากมาย มาพูดถึงเกี่ยวกับประเด็นของ AI ในหัวข้อ AI and the Future of Work : Opportunities and Challenges for Business Leaders คุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Bitkub Captial Group Holdings กล่าวว่า “AI อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของเราได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เราต้องระวังให้มากที่สุดก็คือ เรื่องของกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ และธรรมาภิบาล ที่จะต้องนำมาคุมเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ให้ได้”
ทั้งนี้ ในอนาคตก็ยังมีความไม่แน่นอน ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะถูกพัฒนา จนสามารถตอบโจทย์ต่อความต้องการของผู้คนได้ในหลาย ๆ ด้าน แต่ในทางกลับกัน เราก็ควรจะต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ พัฒนาทักษะของตัวเองในการใช้ AI ให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงหมั่นคอยดูตำแหน่งงานในส่วนที่เทคโนโลยีดังกล่าว ยังไม่สามารถทำได้ หรือ สายงานที่กำลังจะเกิด เช่น อาชีพใหม่ที่ชื่อว่า Prompt Engineer ซึ่งมีทักษะในการดึงประสิทธิภาพสูงสุดของ AI ออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด ผ่านการออกคำสั่ง (Prompt) เพื่อทำให้ AI สามารถตอบกลับได้ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้งานอย่างตรงจุด รวมไปถึงนักสร้างหุ่นยนต์ (Robotic Scientist), วิศวกรดูแลข้อมูล (Big Data Engineer) หรืออาชีพอื่น ๆ เป็นต้น เพื่อเพิ่มโอกาส และพัฒนาศักยภาพตัวเองให้เป็นที่ต้องการได้ในภายภาคหน้า
สิ่งที่มนุษย์จะต้องปรับตัว และพัฒนาทักษะให้มากขึ้นในอนาคต

1. ติดตามข่าวสาร และแนวโน้มของ เทคโนโลยี AI
เนื่องจากข่าวสารเกี่ยวกับ AI นั้นมีหลากหลายประเภท การติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวโน้มของ AI ที่กำลังจะเกิด จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เราได้ทำความรู้จักกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งในบางครั้ง เราอาจได้ใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ เพื่อนำไปประยุกต์ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น
2. มองหางานที่ เทคโนโลยี AI ไม่สามารถแทนที่ได้
การที่สายงานบางส่วน หรือแต่ละอาชีพ ยังมีสิ่งที่ AI ยังเข้าไม่ถึง หรือไม่สามารถปรับตัวได้ เนื่องด้วยข้อจำกัดบางอย่างที่มีความเป็นเหตุเป็นผล ความละเอียดอ่อนที่ค่อนข้างสูง รวมไปถึงวิชาที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ นั่นหมายความว่า งานประเภทนั้น จัดเป็นอาชีพที่ให้ความมั่นคงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เช่น โปรแกรมเมอร์สาย Developer นักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์ ครู ทนายความ หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งในอนาคตไม่แน่ว่าอาชีพดังกล่าว อาจเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากยิ่งขึ้น ที่จะช่วยทำให้เราได้ต่อยอดทักษะ เติบโตในสายงาน และมีความก้าวหน้าในสายงานได้อย่างโดดเด่น
3. สร้างความพร้อม และปรับตัวอยู่เสมอ
เป็นที่ทราบกันดีว่า เทคโนโลยีจะยังคงมีการพัฒนา และเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่สามารถหยุดการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การสร้างความพร้อม ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงจากการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะเป็นตัวกําหนดว่าสิ่งเหล่านี้ จะส่งผลต่อคุณ และศักยภาพในด้านสายงานของเราในทิศทางแบบใด
สรุปอนาคต AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ได้จริงไหม ในมุมมองของนักการตลาด
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานของเรามากขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดบางอย่างที่ AI (Artificial Intelligence) ก็ยังมีจุดบกพร่อง หรือทักษะสำคัญ ที่ยังไม่สามารถทำได้ในปัจจุบัน เช่น การดําเนินงานด้วยตัวเอง, การคิดอย่างมีวิจารณญาณ, ความสามารถด้านอารมณ์ เป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ น่าจะยังไม่สามารถเข้ามาแย่งงานของเราได้ในตอนนี้นั่นเอง แต่คงจะเข้ามาช่วยทุ่นแรง และเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในอนาคตก็ยังมีความไม่แน่นอน มนุษย์ทุกคน จึงควรพัฒนาทักษะการทำงาน และรู้จักการปรับตัว ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ AI อยู่เสมอ
สุดท้ายนี้หากคุณชอบคอนเทนต์ดี ๆ เกี่ยวกับการตลาดแบบนี้
คุณสามารถอ่านคอนเทนต์อื่นๆจากทาง Spark Factor ได้ที่นี่
หรือ หากคุณกำลังมองหา Digital Marketing Agency ที่สามารถ
ช่วยให้ แบรนด์ของคุณถูกสื่อสารไปหาลูกค้า และ เพื่อนำไปสู่
การสร้างยอดขายได้คุณสามารถติดต่อมาหาเราได้ที่นี่ Spark Factor
ที่มา
Oberlo
Rockcontent